วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เทือกเขาแอลป์กับอากาศที่บริสุทธิ์และแหล่งน้ำที่สะอาดจนดื่อมได้


แอลป์ปกคลุมพื้นที่ถึง 2 ใน 3 ของออสเตรีย มันกินอาณาบริเวณกว้างจนเกือบถึงทางตะวันออกสุดของประเทศ นั่นคือ เวียนนา วิวทิวทัศน์อันงดงามและอากาศบริสุทธิ์ช่วยการันตีว่าผู้มาเยือนจะสามารถหลบหลีกความกดดันที่เผชิญอยู่ทุกวันและพบกับการพักผ่อนที่แท้จริงได้ที่นี่
ทั้งชาวออสเตรียและนักท่องเที่ยวต่างเดินทางมายังสถานที่ซึ่งเปรียบเหมือนสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่แห่งนี้ตลอดทั้งปี พวกเขามาเพื่อทำกิจกรรมหลากหลายไม่ว่าจะเป็น การเล่นสกี ปีนเขา เดินเล่น ไต่เขา ขี่จักรยานภูเขา หรือแม้กระทั่งเล่นกอล์ฟสวนตามธรรมชาติ ที่มีพื้นที่ถึงร้อยละ 3 ของประเทศทำให้เห็นว่าออสเตรียมีภูมิประเทศอันหลากหลาย ซึ่งแต่ละที่จะมีบริเวณที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นธรรมชาติอยู่ ยกตัวอย่างเช่นเขตป่าฝน และ Virgin Forest ส่วนภูเขาที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Hohe Tauern คือภูเขาที่มีความสูงที่สุดของออสเตรียมีชื่อว่ากรอสล็อกแนร์ ภูเขาแห่งนี้มีความสูงถึงเกือบ 12,500 ฟุต หรือ 3,800 เมตรเลยทีเดียวหลังจากการขี่จักรยานภูเขามายาวนาน การได้จุ่มแก้วลงในหนึ่งในบรรดาทะเลสาบทั้ง 6,000 แห่งของออสเตรียเพื่อลิ้มรสน้ำดื่มสดชื่นเย็นฉ่ำคงเป็นเรื่องที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อย ออสเตรียมีภาพพจน์ที่ดีระดับโลกในเรื่องของกีฬาทางน้ำและการแช่น้ำสาธารณะ และหนึ่งในนั้นเป็นเพราะคุณภาพอันยอดเยี่ยมของน้ำในทะเลสาบและแม่น้ำของออสเตรียนั่นเองออสเตรียเป็นประเทศหนึ่งในยุโรปที่มีการอนุรักษ์น้ำอย่างดี ทำให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำที่มีคุณภาพสูง และยังทำให้ผู้คนในภาคพื้นทวีปนี้ได้มีกินมีใช้กันด้วย

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประวัติหอไอเฟล



หอไอเฟล (อังกฤษ: Eiffel Tower, ฝรั่งเศส: Tour Eiffel) หอคอยโครงสร้างเหล็ก ที่Champ de Mars บริเวณแม่น้ำแซน ในเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส สถานที่และสัญลักษณ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) โดย กุสตาฟ ไอเฟล ผู้ออกแบบคนเดียวกับเทพีเสรีภาพ เพื่อเป็นสัญลักษณ์การจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี 1889 (พ.ศ. 2413) ฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม หอไอเฟลทำขึ้นจากโลหะ 15,000 ชิ้น หนักถึง 7,000 ตัน ยึดต่อด้วยน๊อต 2,500,000 ตัว สีทาทั้งหมด 35 ตัน สูง 1,050 ฟุต สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 7,799,401 ฟรังก์ แรกๆที่หอไอฟสร้างเสร็จ หอไอเฟลได้รับการประณามโดยทั่วไปว่าเป็นไอเดียที่ประหลาดและไม่เข้าท่า หอคอยไอเฟลได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในช่วงเวลา พ.ศ. 2432 - 2473 ในปัจจุบัน หอคอยไอเฟลมีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมประมาณ 5.5 ล้านคนต่อปี นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่การอ่านออกเสียงในภาษาฝรั่งเศสคือ /ɛ'fɛl/ อ่านเหมือนคำว่า "a-fell" และสำหรับคำในภาษาอังกฤษคือ /'aɪfəl/ อ่านเหมือนคำว่า "eye-full"


โครงสร้างหอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432(ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครสเลอร์ สูง 319 เมตร(1046 พุต)น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้นเหตุการณ์พ.ศ. 2432(ค.ศ. 1889) หอคอยได้สร้างเสร็จ และเป็น 1 ในสิ่งก่อสร้างในงาน EXPOพ.ศ. 2473(ค.ศ. 1930) หอเสียตำแหน่งสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ให้แก่ตึกไครสเลอร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468-พ.ศ. 2477(ค.ศ. 1925-1934) ประดับไฟ 3 ด้านใน 4 ด้านของหอพ.ศ. 2483(ค.ศ. 1940) เมื่อนาซีเยอรมันสามารถยึดปารีสได้แล้ว ชาวฝรั่งเศสได้ตัดลิฟท์ออก ทำให้ฮิตเลอร์ต้องปีนบันได 1,665 ขั้น แต่เขาไม่ปีน เขาให้เอาธงเยอรมันไปปักไว้บนหอแทนพ.ศ. 2487(ค.ศ. 1944) เดือนสิงหาคม ฮิตเลอร์สั่ง Dietrich von Choltitz ให้เผาเมืองปารีส และหอทิ้ง แต่เขากลับฝืนคำสั่งไม่เผา เพราะว่าเขาเสียดายเมืองพ.ศ. 2499(ค.ศ. 1956) วันที่3 มกราคม ไฟไหม้ยอดของหอ และในปีเดียวกันนั้นก็ได้นำเสาอากาศวิทยุไปติ้งตั้งบนยอดด้วยทศวรรษที่ 1980 ได้มีการเคลื่อนย้ายรื้อร้านอาหารที่เก่าแก่ในหอออก ไปสร้างใหม่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกาแทนพ.ศ. 2543(ค.ศ. 2000) ได้มีการติดตั้งโคมไฟบนยอดของหอพ.ศ. 2545(ค.ศ. 2002) วันที่28 พฤศจิกายน หอไอเฟลต้อนรับแขกคนที่ 200 ล้านพ.ศ. 2546(ค.ศ. 2003) วันที่22 กรกฎาคม ไฟไหม้ยอดของหอ ในห้องเก็บของอีกครั้ง ใช้เวลาดับไฟประมาณ 40 นาที

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเตรียมตัวสอบ

การสอบ หมายถึง การประเมินความรู้ความเข้าใจและการนำความรู้ไปใช้ของนักเรียนเกี่ยวกับบทเรียนที่ครูได้สอนไปแล้ว โดยใช้แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเองหรือแบบทดสอบมาตรฐานที่มีอยู่ โดยครูจะทำการสอบก่อนเรียน ระหว่างเรียน หรือหลังเรียนก็ได้ ซึ่งบางระดับชั้นอาจมีการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติการเตรียมตัวสอบ มี 3 ระยะ คือ1.ระยะก่อนสอบ เราควรจะปฎิบัติตนดังนี้
1.1 ควรสะสางงานที่ได้รับมอบหมายให้เรียบร้อย
1.2 ควรจะดูหนังสือล่วงหน้าก่อนสอบอย่างน้อย 1 เดือน
1.3 ควรจัดแบ่งเวลาในการดูหนังสือวิชาต่างๆ ให้เหมาะสมตามเนื้อหาที่สอบ
1.4 ระมัดระวังสุขภาพทั้งกายและสุขภาพจิตให้สมบูรณ์
1.5 วิชาที่เป็นเนื้อหาควรจดบันทึกย่อซึ่งจะช่วยให้จดจำเรื่องราวได้ดีแ
1.6 ควรอ่านหนังสือคนเดียวตามลำพัง จากนั้นไปรวมเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 2-3 คน เพื่อช่วยกันทบทวน
1.7 ในการทบทวนนั้นควรหาที่สงบ ถ้าหากอ่านในใจแล้วไม่มีสมาธิก็ให้อ่านออกเสียง
1.8 ในขณะที่ทบทวนบทเรียนนั้นไม่ควรทำกิจกรรมอื่นๆ ที่จะทำให้เสียสมาธิ เช่น ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ กินขนม เป็นต้น
1.9 ในกรณีเป็นสูตรคำนวณ ควรท่องให้จำได้และใช้สูตรให้ คล่องละสะดวกในการทบทวน
2. ระหว่างการสอบ เราควรจะปฎิบัติดังนี้
2.1 ควรไปถึงห้องสอบก่อนเวลาไม่น้อยกว่า 15 นาที และทำจิตใจให้สงบ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย
2.2 เมื่อเข้าห้องสอบแล้ว ก่อนทำข้อสอบควรอ่านคำสั่งให้ชัดเจน สำรวจข้อสอบว่าครบ สมบูรณ์
2.3 เมื่อเริ่มทำข้อสอบจัดแบ่งเวลาในแต่ละข้อให้เหมาะสมกับคะแนนเพื่อให้เสร็จทันเวลา
2.4 ถ้าข้อสอบข้อใดยากให้เว้นไปก่อนอย่าเสียเวลาในการพยายามทำ ทำข้ออื่นๆ ไปก่อนเมื่อเวลาเหลือค่อยกลับมาทำในภายหลัง
2.5 การเขียนตอบควรเขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ อ่านง่าย ใช้ภาษากะทัดรัด
2.6 กรณีข้อสอบแบบเลือกต้องทำทุกข้อ ข้อใดไม่แน่ใจให้เดาห้ามเว้น
2.7 เมื่อใกล้หมดเวลาประมาณ 5 นาที ให้สำรวจดูความเรียบร้อย เช่น การเขียนชื่อ เลขที่นั่งสอบ และวิชาที่สอบ
2.8 เวลาเพื่อนส่งก่อนกำหนดเวลาก็ไม่ต้องส่งตามเพื่อน
3. ระยะหลังสอบ เราควรปฎิบัติดังนี้
3.1 กรณีสอบต่อเนื่องหลายๆ วันหรือวันละหลายวิชา เมื่อสอบเสร็จวิชาใดให้ออกจากห้องสอบไม่ส่งเสียงรบกวนเพื่อนที่อยู่ในห้องสอบ และต้องไม่วิตก กังวลกับวิชาที่สอบไปแล้วควรตั้งใจทำวิชาที่จะสอบต่อไป
3.2 ถ้ามีการเฉลยข้อสอบ ควรพิจารณาถึงข้อพกพร่องว่าเราทำผิดเพราะเหตุใดจะได้หาทางปรับปรุงต่อไป
3.3 กรณีสอบตกวิชาใดให้ทำการติดต่อผู้สอน เพื่อขอสอบแก้ตัวและหาสาเหตุในการสอบตก เพื่อปรับปรุงตัวต่อไป